ราคาทองมีความปั่นป่วนออกจะต่ำในระยะยาวก็เลยเป็นทรัพย์สินไม่มีอันตรายและก็น่าดึงดูดในระดับการเสี่ยงที่ไม่มากสักเท่าไรนักแม้ทองจะเป็นทรัพย์สินไม่มีอันตราย แม้กระนั้นก็มีการเสี่ยงและก็มีสาเหตุที่จำต้องตรึกตรองด้วยด้วยเหมือนกัน ซึ่งสาเหตุดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจะส่งผลต่อแนวทางการเคลื่อนไหวของราคาทองและก็มีผลต่อผลกำไรที่นักลงทุนจะได้รับก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในทอง จำเป็นที่จะต้องศึกษาต้นสายปลายเหตุหรือสัญญาณต่างๆที่จะกระทบกับราคาทอง เพื่อวางแผนการการลงทุนที่สมควรและก็สร้างผลตอบแทนที่ดีได้
เพราะว่าเป็นทรัพย์สินที่มีความรู้ความสามารถสำหรับการคุ้มครองปกป้องการเสี่ยงในลักษณะต่างๆได้ อย่างเช่น การเสี่ยงจากเงินเฟ้อความผันแปรของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศภาวะเศรษฐกิจหดตัวไปจนกระทั่งความเคลื่อนไหวด้านการเมือง เพราะว่าทองเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในตนเองอยู่เสมอเวลาก็เลยทำให้การลงทุนในทองสามารถกระจัดกระจายการเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน แล้วก็ยังใช้ประโยชน์สร้างกำไรถ้าเกิดจับจังหวะค้าขายได้ถูกทางแม้กระนั้น ทองก็มีการเสี่ยงก็เลยจำเป็นต้องกระทำพินิจพิจารณาถึงต้นสายปลายเหตุที่ส่งผลต่อแนวทางราคาทอง โดยหลักๆแล้ว ควรจะพินิจต้นเหตุใน 3 สัญญาณ ดังต่อไปนี้
นักลงทุนควรจะพินิจราคาทองย้อนไปในอดีตกาลไปราว 7-10 ปี เพื่อเห็นภาพแนวทางราคาทองที่แม่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น สถิติราคาทอง 7 ปีย้อนไป ตั้งแต่ปี 2558 จนกระทั่งต้นปี 2564 พบว่าราคาทอง (Gold Spot) หรูหราต่ำสุดของแต่ละปีสูงมากขึ้นเรื่อย(ภาษาในตลาดทองเรียกว่า การชูฐานราคาในระดับที่ถือว่าต่ำสุดขึ้น) ซึ่งสถานะการณ์นี้ทำให้นักวิเคราะห์ทองทั่วทั้งโลกประเมินว่าแนวทางราคาทองยังเป็นขาขึ้นในระยะยาวออกจะแจ้งชัดโดยที่ประชุมทองโลกได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ทำให้แนวทางราคาทองจะยังคงเป็นขาขึ้นถัดไป โน่นเป็น ในตอนวิกฤติ COVID-19 ก่อนหน้าที่ผ่านมา ทองเป็นทรัพย์สินที่แพงแปรผันน้อย ช่วงเวลาเดียวกันก็ได้ผลทดแทนค่อนข้างจะเป็นประจำ ประกอบกับนักลงทุนยังคงเห็นว่าการลงทุนในทรัพย์สินอื่นยังคงมีการเสี่ยงสูงสำหรับนักลงทุนที่กำลังตกลงใจลงทุนหรือถือทองอยู่แล้วและก็เน้นย้ำลงทุนระยะยาว ยังสามารถลงทุนและก็ถือถัดไปได้ โดยการกระทำการลงทุนทองในระยะยาวจะลงทุนตั้งแต่ 6 ข้างขึ้นไป (มากยิ่งกว่า 2 ไตรมาส) หรือบางทีอาจถือผ่านปี ซึ่งอุบายสำหรับในการลงทุน ก็คือ ทยอยซื้อในตอนต้นปีหรือตอนวันตรุษจีน แล้วหลังจากนั้นให้ถือและก็คอยจังหวะทยอยขายในช่วงปลายไตรมาส 3 หรือ ก่อนปลายปี
นักลงทุนควรจะตรึกตรองราคาทองเป็นรายไตรมาส โดยสถิติในตอน 3 ปีที่ล่วงเลยไป พบว่าราคาทองมักปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดของปี ในตอนไตรมาส 3 รวมทั้งราคาจะปรับต่ำลงเมื่อไปสู่ไตรมาส 4 และก็ไตรมาส 1 ของปีหน้า ตัวอย่างเช่น ราคาปรับขึ้นไปที่ระดับ 2,075 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในตอนสิงหาคม ปี 2563 ต่อไปราคาเริ่มอ่อนตัวลง แล้วก็ปัจจุบันไตรมาส 1 ปี 2564 ราคาทองอ่อนตัวลงสู่ระดับ 1,767 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แล้วก็ปรับต่ำลงสู่ระดับที่ค่อนข้างต่ำสุดที่รอบๆ 1,676 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และก็เมื่อไปสู่ไตรมาส 2 ราคาก็จะมีสัญญาณเบาๆปรับขึ้น โดยประเมินว่าในไตรมาส 3 ปีนี้ ราคาทองก็จะปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดของปี อย่างไรก็แล้วแต่ ภายหลังจากการแพร่ระบาด COVID-19 รอบปัจจุบัน นักลงทุนประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะฟื้นในลักษณะค่อยๆเป็นค่อยๆไป ประกอบกับ มาตรการบรรเทาทางด้านการเงินของธนาคารกลางต่างๆทั้งโลก จะไม่เปลี่ยนแปลงในตอนครึ่งปีข้างหลัง ก็เลยเริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแนวทางของราคาทองที่มีสัญญาณฟื้นขึ้น จากแนวโน้มที่จะยังคงมีจำนวนเงินถูกอัดฉีดเข้ามาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มีผลส่งเสริมตีราคาให้ทองปรับพฤติกรรมขึ้น สำหรับนักลงทุนทองในระยะปานกลางจะย้ำลงทุนเป็นทุกเดือนและไม่เกิน 3 เดือน
นักลงทุนจะพินิจพิจารณาราคาทองเป็นรายวันด้วยการพินิจราคาทรัพย์สินอื่นๆประกอบ เพื่อมองทองกับทรัพย์สินอื่นๆว่ามีการเคลื่อนที่ด้านราคายังไง โดยจะพิเคราะห์ใน 2 สาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น ต้นสายปลายเหตุที่มีผลไปในแนวทางตรงกันข้ามกับราคาทอง และก็ต้นสายปลายเหตุที่มีผลไปในทำนองเดียวกันกับราคาทอง ยกตัวอย่างเช่น
ขอบคุณรูปภาพจาก moozebii