โอลิมปิก เป็นการจัดงานแข่งกีฬาหลากหลายชนิดในแห่งเดียว ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่อดีต โดยตัวแทนจากประเทศต่าง ๆ จะมาร่วมแข่งกีฬาเพื่อชิงชัยกัน กีฬาที่นำมาจัดแข่งขันนั้นมีหลายประเภท ทั้งประเภทกีฬาฤดูร้อนหรือฤดูหนาว โดยจัดขึ้นเป็นประจำทุก4 ปี และงานกีฬาระดับโลกนี้มีความสำคัญมากสำหรับนักกีฬาทุกคน ซึ่งจะน่าสนใจอย่างไรนั้นไปติดตามอ่านกันได้เลย
รู้จักกับกีฬาโอลิมปิก
กีฬาโอลิมปิก คือการแข่งกีฬาซึ่งมีอยู่หลากหลายประเภท และมีประเทศที่ร่วมแข่งขันเป็นจำนวนมากกว่า 200 ประเทศ ซึ่งได้จัดขึ้นทุก 4 ปี แล้วสลับระหว่างการแข่งประเภทฤดูหนาวและฤดูร้อนซึ่งอยู่ห่างกันในทุก ๆ 2 ปี แรงบันดาลใจของการเกิดกีฬา โอลิมปิก มาจากกีฬาโอลิมปิกโบราณ ซึ่งจัดขึ้นที่โอลิมเปีย ประเทศกรีซ ช่วงศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล และต่อเนื่องกันมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 ต่อมามีการจัดตั้ง IOC หรือคณะกรรมการโอลิมปิกสากล จึงนำมาสู่การแข่ง โอลิมปิก สมัยใหม่ ที่จัดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2439 ที่กรุงเอเธน ประเทศกรีซ ตั้งแต่ครั้งนั้น IOC ก็ได้เป็นผู้ดูแลการจัดงานโอลิมปิก ตั้งแต่นั้นมา
โอลิมปิก มีพัฒนาการอย่างมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการเปลี่ยนกฏของโอลิมปิกหลายข้อ รวมถึงการปรับปรุงเกี่ยวกับการจัดแข่งขันให้ดีและปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มแข่งกีฬาประเภทฤดูหนาวและประเภทน้ำแข็ง กีฬาสำหรับคนที่พิการด้านร่างกาย (กีฬาพาราลิมปิก) และโอลิมปิกเยาวชน นอกจากนี้ยังปรับให้เข้ากับสถานการณ์การเมืองของแต่ละประเทศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และผลจากการปรับปรุงนี้ทำให้กีฬาโอลิมปิก พัฒนาจากการแข่งแบบมือสมัครเล่นแบบดั้งเดิม ที่กูแบร์เต็งเป็นคนคิดค้น กลายมาเป็นการแข่งที่นักกีฬาอาชีพสามารถเข้าร่วมการแข่งได้ ความสำคัญของการแข่งนี้จึงมีมากขึ้น
สิ่งที่ขาดไม่ได้ในกีฬา โอลิมปิก สมัยใหม่
สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกที่จะจัดขึ้นทุกปี 4 นั้น สิ่งที่ไม่สามารถขาดได้เมื่อทำการจัดแข่งขัน มีดังต่อไปนี้
อันดับแรกก่อนจัดงานต้องมีเจ้าภาพซึ่งก็คือประเทศที่เป็นสนามการแข่งขัน โดยสถานที่แข่งก็คือสถานที่ที่ได้รับการพิจารณาจากเหล่าประเทศสมาชิกรวมถึงผู้มีอำนาจในการตัดสินว่าให้ประเทศไหนเป็นเจ้าภาพ ส่วนประเทศไหนได้เป็นเจ้าภาพนั้นจะได้รับการประกาศในพิธีเปิดครั้งล่าสุด และด้วยเกณฑ์คัดสรรที่เข้มงวดที่จะต้องเป็นประเทศที่พร้อมจริง ๆ ทั้งสถานที่ การเดินทาง ความปลอดภัย ที่พัก สถานการณ์ด้านการเมือง และวัฒนธรรม จึงจะสามารถได้รับการยอมรับให้เป็นประเทศเจ้าภาพ และการได้สถานเจ้าภาพจัดงานยังช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้กับประเทศได้มาก เนื่องจากได้ความเชื่อใจและไว้ใจ ทำให้เกิดความภูมิใจต่อคนในประเทศทุกคน
ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งกีฬาโอลิมปิก จำนวน 197 ประเทศ ผู้ที่แข่งได้นั้นไม่จำกัดว่าต้องมีรูปลักษณ์แบบไหน นับถือศาสนาอะไร แล้วมีการปกครองเป็นอย่างไร เพราะเน้นที่การรวมกันของนักกีฬาจากประเทศต่าง ๆ แล้วมาสนุกกับการแข่งกีฬาเพื่อกระชับความสัมพันธ์
ในยุคโบราณนั้นหากใครได้รับรางวัลจะมีแต่ผู้คนเข้ามาชมเชย เป็นที่รู้จักและมีหน้ามีตาทางสังคม โดยรางวัลชนะเลิศจะเป็นกิ่งไม้มะกอกทำเป็นวงซึ่งมีความคล้ายคลึงกับมงกุฎ ผู้มอบให้นั้นเป็นจักรพรรดิที่ทำการครอบบนศีรษะแก่ผู้ชนะ รวมถึงสร้างอนุสาวรีย์เพื่อให้คนรุ่นหลังชื่นชมและศึกษาเพื่อเป็นแบบอย่าง จนมาถึงปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนรางวัลโดยแบ่งออกมาได้สามระดับ นั่นคือ เหรียญทอง สำหรับคนที่ชนะเลิศ, เหรียญเงิน สำหรับคนที่ชนะเลิศที่สอง และเหรียญทองแดง สำหรับคนที่ได้ที่สาม
คบเพลิงจะถูกจุดขึ้นเพื่อเป็นการแสดงถึงการเปิดม่านการแข่งขัน ซึ่งคบเพลิงถือเป็นสัญลักษณ์และอนุสรณ์ถึงเพลิงที่เทพโพรมีเทียสขโมยจากเทพเจ้าซุสมามอบให้แก่มนุษยชาติ ในการจุดคบเพลิงจะจุด ณ วิหารฮีรา โดยใช้จานสะท้อนแบบพาราโบลา ที่สามารถรวมแสงอาทิตย์และสะท้อนออกมาเป็นความร้อนมากพอให้ไฟติด จากนั้นไฟก็ถูกแจกให้กับประเทศที่เป็นสมาชิกทั่วโลก ข้ามทะเลสู่เจ้าภาพ แล้ววิ่งนำคบเพลิงจุดที่กระถางเป็นการเปิดงาน ไฟที่จุดต้องไม่ดับจนกว่าการแข่งจะจบลง
โอลิมปิกมีสัญลักษณ์อะไรบ้าง
สัญลักษณ์ที่ควรจะรู้จากโอลิมปิก ข้อแรกคือต้องมีสีธง ธงขาวมีขนาดทาง 3 X 2 เมตร ตรงกลางวงมีเครื่องหมายห้าห่วงคล้องด้วยกัน ขนาด 2 เมตร X 0.05 เมตร และห่วงต้องมีสีฟ้า สีเหลือง สีดำ สีเขียว และสีแดง นับจากซ้ายไปขวา ไขว้กันตรงกลางจำนวนสองแถว สามห่วงอยู่แถวบน สองห่วงอยู่แถวล่าง ตรงกลางที่มีห่วงคล้องกันจะเป็นธงขาว รวมสีบทธงเป็นจำนวนทั้งหมด 6 สี ล่างห่วงมี 3 คำอันเป็นภาษาโรมัน นั่นคือ
จะเห็นว่า โอลิมปิก เป็นการจัดงานแข่งกีฬาที่มีผู้ร่วมแข่งซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละประเทศ แต่ละคนมีภาษาและวัฒนธรรมที่ต่างกันไป เมื่อมาร่วมแข่งกันก็เหมือนกับได้มากระชับมิตรและสร้างเพื่อนใหม่ ๆ ไม่ได้เน้นแพ้ชนะ และมีประเภทของกีฬาให้เลือกแข่งขันอย่างหลากหลาย